วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 ผลไม้ไทยสร้างเด็กเก่ง




10 ผลไม้ไทยมีสารต้านมะเร็ง

กรมอนามัย วิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้ ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า

ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม


ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย

1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่



10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ

1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล



การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ

1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี


ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี.


เครดิต

http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_02642.php

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จับโกหก





ความจริงแล้วการโกหกอาจเป็นสิ่งจำเป็นในบางครั้ง เช่นการโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ แต่ถ้าการโกหกนั้นมาจากเพื่อนหรือคนที่คุณรัก ซึ่งเขาทำเพื่อปกปิดคุณและเมื่อคุณรู้ความจริง ก็จะเจ็บปวดแสนสาหัส นั่นคือการโกหกที่เลวร้าย

เราจะช่วยปกป้องคุณจากความเลวร้ายนั้น ด้วยวิธีจับโกหกที่ได้ผลชะงัดนัก (แต่ก็อย่าใช้พร่ำเพรื่อตลอดเวลาล่ะ…เพราะมันจะทำให้คุณไม่สบายใจเอง)

ท่าทางส่อพิรุธ
คุณเคยสงสัยว่าพ่อตัวดีของคุณหายไปไหนมาเมื่อคืนใช่ไหม ? พอคุณถามไปเขาก็จะเหยียดหลัง ถอนหายใจแล้วก็จะค่อยๆ พูดอะไรกลับไปกลับมาซึ่งคุณก็เริ่มสงสัยว่า คุณถูกหลอกแล้ว นี่คือสัญลักษณ์ท่าทางส่อพิรุธบางอย่างนะคะ

สายตาเฉไฉ
พ่อตัวดีของคุณเริ่มอธิบายพร้อมสอดส่ายสายตาไปทุกๆ ที่แต่ไม่กล้ามองที่คุณ บางทีก็มองผ่านๆ คุณไปแล้วก็แกล้งหันมามองคุณอีกซักครั้งสองครั้ง

ปริ๊บ ปริ๊บ ปริ๊บ
คนปกติจะกระพริบตาประมาณ 15-20 ครั้งต่อนาที แต่ถ้าคนที่กำลังเขินหรือตกประหม่าจะกระพริบตาเร็วและบ่อยขึ้น ถ้าหากว่าแฟนคุณกระพริบตาเร็วและบ่อยกว่าปกติ เขาอาจเก็บอะไรบางอย่างหรือเก็บใครบางคนไว้ในใจ

ปกปิดตัวเอง
คนที่กำลังโกหกมักไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกับคนที่เขากำลังโกหก ถ้าคุณลองถามเรื่องเมื่อคืนของเขา เขาอาจยืนถือกระเป๋าบังตัวเองไว้ หรือไม่ก็กอดอก

คำพูดซ่อนความคิด
สมมุติว่าคุณกำลังสงสัยว่าเพื่อนรักปกปิดอะไรบางอย่าง คุณอาจสังเกตเธอจากน้ำเสียงเหล่านี้ได้ เสียงประหลาด เวลาที่คนเราโกหก เสียงจะแปลกออกไป โดยมากจะมีเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย เช่นคำว่า “เปล๊า…” ไม่เชื่อไปถามเพื่อนคุณสิว่า “เธอแอบไปบอกตั้มว่าฉันแอบปลื้มเขาเหรอ ?” เสียงที่เพื่อนคุณเปล่งออกมาจะแปร่งๆ หู เช่นสูงไป ต่ำไป บางทีก็กลายเป็นเสียงกระซิบ

ตะคอก !!
คนโกหกหลายคนมักยืนยันความซื่อสัตย์ของตัวเองโดยการตะโกนหรือตะคอกด้วยความโมโหรำคาญ ความจริงมีอยู่ว่ายิ่งเธอตะโกนว่า “ไม่!!!” ดังมากแค่ไหน คำว่า “ใช่” ก็ดังแค่นั้น

เวอร์จัง
ถ้าคุณถามเพื่อนคุณว่าเธอเผยความลับของคุณหรือเปล่า แล้วเธอก็พูดเร็วและชัดเจนเหมือนพิธีกร MTV แสดงว่าเธอเตรียมการมาดีแล้ว และมักพูดคำว่า “แบบว่า หรือ จริงๆนะ” อยู่บ่อยๆ

ประดิษฐ์เรื่องราว
เชื่อหรือเปล่าว่าคนส่วนใหญ่จะคิดประดิษฐ์เรื่องราวต่างๆ นาๆ ได้อย่างน่าเกลียด และน่าตลก โดยเรื่องราวนั้นมักมีลักษณะดังนี้ เรื่องพลิกแพลงไปมา แม้ว่าเรื่องน่าจะดูธรรมดาๆ แต่คนโกหกมักพลิกแพลงเรื่องจนฟังดูเหลือเชื่อสุดๆ สมมุติว่าเพื่อนคุณโกหกว่าเธอไปเยี่ยมยาย ทั้งที่แอบไปดูหนังกับใครไม่รู้โดยไม่ชวนคุณ เธอจะเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่ไปกับยายอย่างลึกลับซับซ้อน ทั้งๆ ที่…แค่เธอไปเยี่ยมยายเท่านั้นเอง..(จริงๆ นะ)

ซ้อมมาอย่างดี
คนโกหกมักจะเตรียมการอย่างดี เรื่องที่เธอหรือเขาเล่ามาจะไหลลื่นมากเกินไป คุณลองดักคอเพื่อนดูซิ โดยการถามเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เธอเล่าเลย เช่น “เธอกินข้าวหรือยัง?” เพื่อนของคุณจะงงๆ แล้วตอบผิดๆ ถูกๆ

ย้ำทุกคำ
เรื่องที่คนโกหกเล่ามักจะย้ำชัดทุกคำ โดยเฉพาะคำว่า ไม่ได้ไป เปล่าทำ ไม่เคยพูด….

สังเกตุดูคนรอบข้างคุณก็ได้ ถ้ามีคนที่กำลังทำแบบนี้อยู่ ให้รู้ไว้ซะว่า เค้ากำลังโกหกคุณ




ที่มา http://webboard.yenta4.com/topic/419872

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นกแก้วโม่ง

นกแก้วโม่ง




แก้วโม่ง (Psittacula eupatria) เป็นนกตระกูลนกแก้วขนาดเล็ก - กลาง ชื่อสามัญคือ Alexandrine Parakeet
โดยชื่อนี้ เป็นการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแด่ กษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช เมื่อครั้งยาตราทัพเข้ามาสู่ในทวีปเอเชีย โดยได้นำนกแก้วสายพันธุ์นี้กลับไปยังทวีปยุโรป

แก้วโม่งมีถิ่นกำเนิดแพร่กระจายทั่วไปในแถบทวีปเอเชีย ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกและตะวันออกของอัฟกานิสถาน, ไล่ลงไปยังอินเดีย, อินโดจีน เช่น พม่า หรือ ประเทศไทยฝั่งตะวันตก รวมทั้งยังพบได้ตามหมู่เกาะในทะเลอันดามัน
ลักษณะ
แก้วโม่งมีความยาววัดจากหัวถึงปลายหางได้ราว 57-58 เซนติเมตร ลำตัวมีสีเขียว จงอยปากมีลักษณะงุ้มใหญ่สีแดงสด บริเวณหัวไหล่จะมีแถบสีแดงแต้มอยู่ทั้งสองข้าง นกเพศผู้และเมียสามารถแยกแยะได้เมื่อนกโตเต็มที่ กล่าวคือในเพศผู้จะปรากฏมีแถบขนสีดำและสีชมพูรอบคอที่เรียกกันว่า "Ring Neck" ซึ่งในนกเพศเมียไม่มีเส้นที่ปรากฏดังกล่าว



พฤติกรรม
อาหารของแก้วโม่ง ในธรรมชาติ ประกอบด้วย เมล็ดพืชต่าง ๆ ผลไม้หลากชนิด ใบไม้อ่อน ฯลฯ

แก้วโม่งจัดเป็นนกแก้วที่มีเสียงร้องค่อนข้างดัง และมักเลือกที่จะทำรังตามโพรงไม้ใหญ่ ๆ โดยใช้วิธีแทะหรือขุดโพรงไม้จำพวกไม้เนื้ออ่อน หรืออาจเลือกใช้โพรงไม้ที่เก่าต่าง ๆ โดยในฤดูผสมพันธุ์ซึ่งจะแตกต่างกันตามลักษณะสายพันธุ์ย่อย อันเกี่ยวเนื่องกับอุณหภูมิและสภาพทางภูมิศาสตร์ แต่โดยเฉลี่ยจะเริ่มจากเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงราวปลายเมษายน โดยในระหว่างฤดูผสมนี้เพศเมียจะค่อนข้างแสดงอาการดุ และกร้าวร้าวมากขึ้น

แก้วโม่งวางไข่ปีละครั้ง ครั้งละ 2-4 ฟอง

สถานะการอนุรักษ์
แก้วโม่งจัดเป็นนกแก้วที่นิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ เพราะพบว่าเป็นนกแก้วที่มีความสามารถในการเลียนเสียงต่าง ๆ โดยเฉพาะเสียงมนุษย์ได้ดี ปัจจุบันนกแก้วโม่งจัดเป็นนกที่อยู่ในบัญชีคุ้มครอง 2 ของอนุสัญญาไซเตส รวมทั้งเป็นนกที่กฎหมายให้ความคุ้มครองในแต่ละประเทศด้วยเช่นกัน

แก้วโม่งเป็นนกที่ได้รับการนำมาเพาะพันธุ์โดยมนุษย์ประสบผลสำเร็จ ทำให้แนวทางในลดปัญหาจากลักลอบจับหรือล่านกแก้วโม่งป่า เพื่อการค้า มีแนวโน้มที่ดีขึ้น



การเลี้ยงดู
สำหรับการเลี้ยงนกแก้วโม่งในครอบครองนั้น ผู้เลี้ยงควรต้องศึกษาในเรื่องของพฤติกรรมความเป็นอยู่, ลักษณะนิสัย รวมทั้งการจัดการด้านอาหารและสถานที่เลี้ยงให้ถูกต้อง เพราะการเลี้ยงนกที่ผิดไปจากธรรมชาติถิ่นที่อยู่เดิมนั้น ปัญหาประการหนึ่งก็คือ "ความเครียด" ของนก ดังนั้นการจัดหาความพร้อมทั้งสถานที่,อุปกรณ์ อาหารการกินที่เหมาะสม อาจช่วยให้นกได้รู้สึกมีความสุขและลดความเครียดลง รวมทั้งยังพร้อมที่จะตอบสนองต่อการเป็นนกในฐานะสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ได้อย่างมีความสุข และมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป

เครดิต
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%87#.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.80.E0.B8.A5.E0.B8.B5.E0.B9.89.E0.B8.A2.E0.B8.87.E0.B8.94.E0.B8.B9

การเลี้ยงนกกรงหัวจุก


การเลี้ยงนกกรงหัวจุก

นกกรงหัวจุก (การดูแลเลี้ยง)




เรื่องราวของนกกรงหัวจุกในฉบับที่แล้วซึ่งได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องราวทั่วๆ ไปของนกกรงหัวจุก ต่อไปก็ขอเข้าเรื่องของการดูแลเลี้ยงดูนกกรงหัวจุกว่ามีความยากง่ายเพียงไรครับนกกรงหัวจุกเป็นนกที่มีอายุยืน นกที่เลี้ยงอาจมีอายุยืนถึง 18 ปี การเลี้ยงนกกรงหัวจุกต้องมีวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ประกอบการเลี้ยง ซึ่งได้แก่ กรงของนกกรงหัวจุก มีทั้งกรงรวมซึ่งเป็นกรงขนาดใหญ่สำหรับพักนกที่จับมาขาย หรือเป็นกรงสำหรับให้นกบินออกกำลังกาย กรงเลี้ยงแบบธรรมดา กรงให้นกผลัดขน และกรงที่นำไปแข่ง ถ้วยใส่น้ำ ถ้วยใส่อาหาร ที่รองถ้วยน้ำถ้วยอาหาร ห่วงกลม สำหรับให้นกกระโดดเกาะ ตะขอแขวนผักผลไม้ ใช้ติดในกรงนก 2 อันต่อ 1 กรง คอนเกาะ ผ้าคลุมกรงนก เพื่อไม่ให้นกตกใจต่อสิ่งรอบข้างที่แปลกใหม่ ป้องกันไม่ให้ลมโกรกถูกตัวนก หรือป้องกันไม่ให้ศัตรูมาทำร้าย ถาดรองขี้นก หัวกรง ตะขอแขวนกรง ตุ้มขากรง ขันสำหรับให้นกอาบน้ำในกรง



สำหรับวิธีการเลี้ยงนกกรงหัวจุกระยะต่างๆ มีดังนี้
การเลี้ยงดูลูกนกเกิดใหม่ ลูกนกที่เกิดใหม่ มีวิธีการให้อาหารคือ 1. อาหารลูกไก่ทำให้ละเอียด 2. กล้วยน้ำว้าเละ 3.หนอนนก

การป้อนอาหารจะป้อนสลับกันไป ถ้าหากลูกนกยังร้องอยู่ก็แสดงว่าลูกนกยังไม่อิ่ม ให้
ป้อนอาหารจนกว่าลูกนกจะหยุดร้อง หรือดูว่าลูกนกกินอาหารมากพอสมควรแล้วก็หยุดป้อน
นอกจากป้อนอาหารแล้ว ต้องป้อนน้ำและหัดให้ลูกนกกินอาหารเองบ้าง จนอายุ 15 - 20 วัน ขึ้นไป
ก็สามารถแยกลูกนกไปไว้ในกรงเดี่ยว และให้แขวนใกล้ลูกนกตัวอื่นๆ เพื่อไม่ให้ลูกนกตื่นกลัว
การเลี้ยงดูลูกนกในกรง ลูกนกในกรงเริ่มกินอาหารเองได้แล้ว และมีสุขภาพแข็งแรง เมื่ออายุได้
ประมาณ 40 วัน ขนจะขึ้นทั่วตัว สีขนของนกจะเปลี่ยนเป็นสีเทา เมื่อนกอายุได้ 100 - 120 วันขึ้นไป นกจะเริ่มผลัดขน ขนจะเปลี่ยนเป็นสีขาวสีน้ำตาล ต่อมาจะมีขนแดงใต้ตาและมีแก้มสีขาว มีแถบดำที่เรียกว่าสร้อยคอ ขนใต้หางจะเปลี่ยนเป็นสีแดงส้ม ระยะนี้ต้องให้อาหารนกกินให้สมบูรณ์
การเลี้ยงนกหนุ่ม เมื่อนกกรงหัวจุกผลัดขนจนเป็นนกหนุ่มที่สมบูรณ์แล้ว ส่วนต่างๆ ของร่างกายจะแข็งแรงเจริญเติบโตและสมบูรณ์ดี ช่วงอายุนกหนุ่มขึ้นไปจะมีการผลัดขนปีละ 1 ครั้งขึ้นไป ขณะผลัดขนควรจะนำนกไปไว้ในกรงผลัดขน ซึ่งกรงจะใหญ่กว่ากรงเลี้ยงธรรมดา หรืออาจปล่อยไว้ในกรงพักนกใหญ่ก็ได้ ในช่วงผลัดขน นกจะไม่ร้องถ้าร้องก็ร้องเพียงเล็กน้อยจนกว่าจะผลัดขนหมดจึงจะเริ่มร้อง นกหนุ่มจะร้องเพลงได้เมื่อมีอายุประมาณ 1 ปี การเลี้ยงนกกรงหัวจุกที่อ้วน เมื่อเริ่มเลี้ยงใหม่ๆ มักจะให้อาหารแก่นกเป็นอย่างดี เพราะนกเมื่อได้มาใหม่จะผอม จึงเป็นสาเหตุให้นกอ้วนเกินไป ส่งผลให้นกขี้เกียจกระโดดออกกำลังกาย ขี้เกียจร้อง ดังนั้น จึงต้องลดความอ้วนของนกลง โดย
การให้อาหารให้น้อยลงโดยเฉพาะอาหารพวก กล้วยน้ำว้า อาหารเม็ด และหนอนนก เพราะอาหารพวกนี้จะมีโปรตีนแลไขมันสูง ควรงดการให้สักระยะหนึ่งจนกว่านกจะผอมลง ต้องให้อาหารจำพวก มะละกอสุก ลูกตำลึงสุก เพื่อให้นกถ่ายอุจจาระบ่อยๆ และให้นำนกไปตากแดดมากขึ้น
อาหาร นกกรงหัวจุกชอบกินผลไม้และพืชผักเป็นหลัก นอกจากนี้ยังชอบกินหนอน ตั๊กแตน และแมลงอื่นๆ ซึ่งเป็นอาหารโปรตีน เพื่อทำให้ร่างกายเจริญเติบโต หากเป็นอาหารเม็ด ควรใช้อาหารลูกไก่เพราะจะมีโภชนาการครบถ้วน

เครดิต

http://www.oknation.net/blog/Dorrormae/2009/08/20/entry-1

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

The Expendables โครตคนทีมมหากาฬ


หนังใหม่ The Expendables โครตคนทีมมหากาฬ




ชื่ออังกฤษ The Expendables
ชื่อไทย โครตคนทีมมหากาฬ
ประเภทหนัง Action
ผู้กำกับ Sylvester Stallone
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 26 August 2010
ความยาวหนัง -
นักแสดง Sylvester Stallone, Jason Statham, Jet Li, Dolph Lundgren, Randy Couture, Terry Crews, Eric Roberts, Steve Austin, Mickey Rourke, Bruce Willis, Arnold Schwarzenegger
เรทภาพยนตร์ - ไทย
(ดูรายละเอียด) ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
เรทภาพยนตร์ - สากล -

โครตคนทีมมหากาฬ เรื่องย่อ

บาร์นีย์ รอส (ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน) เป็นชายที่ไม่มีอะไรจะเสีย ด้วยความที่เขาไม่กลัวอะไรและปราศจากอารมณ์ใดๆ เขาจึงเป็นหัวหน้ากลุ่ม เป็นผู้รู้ และเป็นนักวางแผน ของกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตเสี่ยงตาย ที่มีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น สิ่งที่เขาห่วงใยเพียงอย่างเดียวคือรถปิ๊คอัพ เครื่องบินสะเทิ้นน้ำและลูกทีมนักรบสมัยใหม่ที่จงรักภักดีของเขา เขาเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายตัวจริง ที่อธิบายถึงสิ่งที่เขาทำว่า “ขจัดรอยเปื้อนที่กำจัดออกยาก” ทีมงานเบื้องหลังประกอบไปด้วย ลี คริสต์มาส (เจสัน สเตแธม) อดีตเจ้าหน้าที่เอสเอเอส ผู้ชำนาญการใช้ทุกสิ่งที่มีคมมีด, หยิน หยาง (เจ็ท ลี) ปรมาจารย์การต่อสู้ระยะประชิด, เฮล ซีซาร์ (เทอร์รี ครูว์ส) ผู้รู้จักบาร์นีย์ มา 10 ปี และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธระยะไกล, โทลล์ โร้ด (แรนดี้ โคตูร์) ผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิด ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นมันสมองของกลุ่ม และกุนนาร์ เจนเซน (ดอล์ฟ ลันด์เกรน) สิงห์สงคราม ผู้เชี่ยวชาญด้านการยิงไกล ที่ต้องทุกข์ทรมานกับความหลังของตัวเอง

เมื่อ เชิร์ช ชายลึกลับ (ทีบีดี) เสนองานที่ไม่มีใครกล้ารับให้กับบาร์นีย์ เขาและลูกทีมก็จึงออกเดินทางเพื่อปฏิบัติภารกิจที่ดูเหมือนจะเป็นไปตามแบบ ฉบับ นั่นคือการล้มนายพลกาซา (เดวิด ซายาส) ผู้นำเผด็จการของประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆ วิเลนา เพื่อยุติยุคสมัยแห่งความตายและการทำลายล้างที่ประชาชนต้องทนรับมาตลอด ในภารกิจสอดแนมในวิเลนา บาร์นีย์และคริสต์มาสได้พบกับผู้ติดต่อของพวกเขา แซนดรา (จิเซลล์ อิทชี) นักสู้อิสระในท้องถิ่น ผู้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ พวกเขาได้เรียนรู้ว่าศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาคืออดีตเจ้าหน้าที่ CIA ผู้กลับใจ เจมส์ มอนโร (อีริค โรเบิร์ตส์) และสมุนคู่ใจของเขา เพน (สตีฟ ออสติน) เมื่อสถานการณ์ดิ่งลงเหว บาร์นีย์ และคริสต์มาสถูกบีบให้ต้องทิ้งแซนดราไว้ข้างหลัง เป็นการประกาศิตความตายให้กับเธอ ด้วยความรู้สึกผิดกับความล้มเหลวครั้งนี้ บาร์นีย์ จึงเกลี้ยกล่อมให้ลูกทีมของเขากลับไปวิเลนาเพื่อช่วยชีวิตตัวประกัน และสานต่องานที่เขาเริ่มต้นเอาไว้ และบางทีอาจเพื่อช่วยจิตวิญญาณ…ของตัวเขาเองด้วย




เครดิต

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีเลี้ยงชูก้าไรเดอร์ เลี้ยงชูก้าไรเดอร์ ขั้นตอนวิธีเลี้ยงชูก้าไรเดอร์

วิธีเลี้ยงชูก้าไรเดอร์ เลี้ยงชูก้าไรเดอร์ ขั้นตอนวิธีเลี้ยงชูก้าไรเดอร์










การเลี้ยงชูการ์ไกลเดอร์มีหลากหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันไป การจะเลี้ยงแบบไหน ใครจะเลือกวิธีใด สิ่งที่ต้องนำมาเป็นหลักการในการจัดการ ก็คือ ข้อมูลชีววิทยา หรือเรื่องพื้นๆ ของตัวสัตว์
ชูการ์ไกลเดอร์เป็นมาร์ซูเปี้ยน หรือสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้องสำหรับเลี้ยงลูก ซึ่งก็อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ หมีโคอะล่า จิงโจ้ มี ถิ่นกำเนิดในออสเตรเลีย และนิวกินี เป็นสัตว์สังคมที่อยู่กันเป็นฝูง ประมาณ 6-10 ตัว และแต่ละฝูงก็จะมีอาณาเขตของตัวเองชัดเจน โดยมีตัวผู้เป็นจ่าฝูงและทำหน้าที่กำหนดอาณาจักรของตนโดยการปล่อยกลิ่น จำเพาะ ตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย คือ 100-160 กรัม และ 80-130 กรัม ตามลำดับ ความยาวลำตัวระหว่าง 160-210 มิลลิเมตร และความยาวถึงหางระหว่าง 165-210 มิลลิเมตร ชูการ์ไกลเดอร์จะมีพังผืดขยายออกมาจากด้านข้างลำตัวติดต่อระหว่างขาหน้าและ ขาหลัง ช่วยในการบินหรือร่อน เรียกว่า “gliding membrane” หรือ “patagium” มีขนาดของกระดูกเล็กและ เบา จึงทำให้ร่อนได้ง่าย
สามารถเป็นสัดหรือพร้อมผสมพันธุ์ได้หลายๆ รอบในช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ หรือระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงพฤศจิกายน (ในออสเตรเลีย) ส่วนในเมืองไทยจะพบมากในช่วงฤดูร้อนเข้าฝน หรือช่วงที่มีแมลงมาก เป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ จะมีช่วงของการเป็นสัดยาว 29 วัน ตั้งท้องเพียง 15-17 วัน บางรายงานเพียง 13 วันเท่านั้น แล้วลูกของพวกเขาก็จะพยายามคลานออกมาสู่กระเป๋าหน้าท้อง ซึ่งที่นั่นจะมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และมีหัวนมทั้งหมด 4 เต้า และอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องนาน 70-74 วัน จึงจะออกมาอยู่ข้างนอก และเริ่มหย่านมในช่วงอายุ 110-120 วัน แต่ก็ยังอยู่กับแม่จนอายุ 8-12 เดือนในตัวเมีย และ 12-15 เดือนในตัวผู้ สิ่งที่พิเศษแตกต่างไปจากสัตว์ชนิดอื่น คือ อวัยวะเพศเมียจะถูกแบ่งออกเป็นคู่ มีช่องคลอดและมดลูกเป็นสองห้อง ขณะที่อวัยวะเพศผู้ก็แบ่งเป็นสองข้างเช่นกัน ซึ่งจะไม่ขับปัสสาวะผ่านส่วนปลายของลึงค์ แต่จะขับออกทางส่วนบนของฐานลึงค์ทั้งสอง
ชูการ์ไกลเดอร์เป็นพวกโอมนิวอร์หรือกินได้ทั้งพืชและสัตว์ และหากินในเวลากลางคืนเป็นส่วนใหญ่ อาหารตามธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากสำหรับผู้เลี้ยงในเมืองไทยหากต้องการจะเลี้ยงให้ เหมือนตามธรรมชาติ ที่บ้านเกิดของพวกเขา ชูการ์ไกลเดอร์กินเนื้อยางหรือน้ำหวานของต้นอคาเซีย และต้นยูคาลิปตัส ซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตและกากอาหารสูง จึงไม่แปลกใจว่าทำไมส่วนซีคัมหรือไส้ติ่งของชูการ์ไกลเดอร์จึงขยายใหญ่ และที่นั่นมีการหมักอาหารโดยจุลชีพเพื่อสร้างสุดยอดอาหาร และมีฟันตัดด้านล่างที่แหลมคมและแข็งแรงมาก เพราะใช้กัดเปลือกไม้ให้เป็นรอยแยกนั่นเอง นอกจากนี้ยังกินพวกน้ำหวานจากดอกไม้ ผลไม้ และน้ำผึ้ง ในฤดูที่อุดมสมบูรณ์จะเลือกกินแมลงให้มาก จึงจะได้โปรตีนและไขมันสูง สะสมพลังงานไว้ใช้ในช่วงฤดูขาดแคลน และในป่านั้น พวกเขาต้องการพลังงานสูงมาก คือ 182-229 กิโลจูลต่อวัน หรือคิดเป็นอาหารประมาณ 17% ของน้ำหนักตัวต่อวัน เพราะเป็นสัตว์ที่ไม่หยุดนิ่ง อย่างไรก็ตาม ชูการ์ไกลเดอร์ที่ถูกนำมาเลี้ยง ก็มักจะต้องการน้อยกว่านั้น เนื่องจากกิจกรรมทรหดอย่างในธรรมชาติไม่มี หากกินมากก็จะเกิดโรคอ้วนได้ง่าย อย่างไรก็ตามไม่พบรายงานการกินเมล็ดธัญพืช นอกไปจากรายงานการจัดการด้านการเลี้ยงของมนุษย์เอง แต่เราก็สามารถจัดหาให้ได้ ในระดับที่ไม่มากเกินไปได้ ส่วนใหญ่ต้องอยู่ในรูปที่เป็นออแกนิคแล้ว ไม่ใช่เป็นเมล็ด







เนื่องจากเป็นสัตว์ที่ไม่หยุดนิ่งนี่เอง ทำให้ต้องการพลังงานมาก และยังต้องการพื้นที่อาศัยในการทำกิจกรรมโลดโผนต่างๆ มาก
จากข้อมูลพื้นฐานดังกล่าว เราจะมาลองจินตนาการ และจัดการการเลี้ยงดูแก่ชูการ์ไกลเดอร์
ชูการ์ไกลเดอร์ที่ได้รับการเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด อย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมง จะทำให้พวกมันเรียนรู้จักเรา และจะกลายเป็นสัตว์ที่เชื่องชาญฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ ขนาดกรงที่เลี้ยงควรใหญ่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ได้ออกกำลังและสามารถบินร่อนได้ และมีชีวิตใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด ขนาดเล็กที่สุดที่ควรจะเป็น คือ 91×36×91 เซนติเมตร เป็นกรงตาข่ายที่มีการระบายอากาศที่ดี มีอุณหภูมิ ที่อาศัย คือระหว่าง 18-32 องศาเซนเซียส ขณะที่อุณหภูมิที่เหมาะสม คือ 24-27 องศาเซนเซียส ในกรงต้องมีที่กิน มีถาดอาหารและถาดน้ำ ที่หลบอาศัยที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย เช่น กล่องไม้ ซึ่งต้องแขวนไว้ในที่สูง และควรอยู่ในที่ประจำ ทำความสะอาดและเปลี่ยนที่รองนอนทุก 1-2 สัปดาห์ เลือกใช้กล่องรังนก บางท่านก็ใช้กล่องนอนสำหรับลูกสุนัขหรือแมว ซึ่งมักจะกลายเป็นแฟชั่นในระยะหลัง อย่างไรก็ตาม ขนาดของกล่องควรเหมาะกับจำนวนของชูการ์ที่อาจจะอาศัยอยู่ร่วมกันในกล่อง เดียว หรือจะตัวเดียวลำพังก็ควรจะมีขนาดอย่างน้อย 13×13 เซนติเมตร มีช่องเปิดด้านหน้า พื้นกรงทำความสะอาดได้ง่าย และสิ่งรองนอนที่นิยม เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษชำระแบบหนา ใบไม้หรือหญ้าแห้ง ขี้เลื่อย (บางท่านก็กังวลว่าจะอุดตันทางเดินอาหารได้) กากมะพร้าว ส่วนใหญ่นิยมผ้า มีไม้คอนสำหรับปีนป่าย หรือกิ่งไม้แตกสาขาก็จะเหมาะในการออกกำลัง ช่วยให้กรงมีชีวิตชีวา และเป็นประโยชน์ที่สัตว์จะได้แทะเล่น ช่วยในการสึกของฟันได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังอาจจัดหาของเล่น ซึ่งบรรดาของเล่นนกก็เหมาะที่จะนำมาใช้กับชูการ์ไกลเดอร์ เป็นการทำให้สัตว์ไม่เบื่อ
อาหารที่เหมาะสม มีผู้รายงานเอาไว้ และมีความหลากหลายมาก แต่อาหารนั้นควรประกอบไปด้วยแหล่งของโปรตีนสูง ซึ่งเชื่อว่าแมลงเป็นแหล่งอาหารหลักตามธรรมชาติ ผู้เลี้ยงส่วนหนึ่งจึงนิยมให้แมลงเป็นอาหารหลัก นอกจากนี้แหล่งโปรตีนที่สำคัญยังได้แก่ ไข่ ลูกหนูแรกเกิด เนื้อสัตว์ อาหารแมวคุณภาพสูง ซึ่งหลายๆ อย่างไม่นิยมให้ ยกเว้นไข่แดงที่ใช้กันสม่ำเสมอในสวนสัตว์ และเสริมด้วยแหล่งอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตสูง เช่น เนกตาร์ น้ำผึ้ง ยางไม้ของยูคาลิปตัสหรืออะคาเซีย ในต่างประเทศนิยมใช้อาหารของชูการ์ไกลเดอร์ และสามารถใช้อาหารนกกินแมลงเข้ามาทดแทนในอาหารได้ ประมาณ 24% ในธรรมชา ติชูการ์ไกลเดอร์จะไม่กินเมล็ดธัญพืช แต่ประยุกต์ใช้ในรูปที่เป็นออแกนิคได้ ซีลีแลค หรือนีโอเน็ต ก็ถือว่าเป็นแหล่งธัญพืชที่แปรรูปแล้ว และควรจำกัดผักและผลไม้ ซึ่งพบการกินได้น้อยมากในธรรมชาติ ในไทยมีแหล่งอาหารเหล่านี้มาก ถือว่าเป็นความโชคดีสำหรับชูการ์ไกลเดอร์ เช่น น้ำหวานจากผลไม้ ผลไม้บางชนิดให้น้ำตาลฟรุกโตสสูงมาก เป็นแหล่งพลังงานที่ดี ผู้เลี้ยงบางคนก็ได้ทดลอง และในการเลี้ยงพบว่าพวกเขาสามารถกินและปรับตัวได้ดี และผักสีเขียวก็เป็นแหล่งของไวตามินและกากอาหารที่ดี อย่างไรก็ตาม อาหารที่ไม่มีการกินตามธรรมชาติ ควรถูกจำกัดให้น้อยกว่า 10% เพราะพบว่าการให้ผลไม้เป็นหลัก ซึ่งจะให้โปรตีนและแคลเซียมต่ำ ทำให้เกิดโรคกระดูกเสื่อม และโรคฟัน แม้ว่าอาหารจะมีความหลากหลายและมีความเชื่อแตกต่าง ทั้งถูกและผิด แต่ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด การเลือกเอาอาหารของตัวพอสซัม “Leadbeater’s possum” ซึ่งมีความใกล้ชิดกับชูการ์ไกลเดอร์มาก เรียกว่า “Leadbeater’s mixture” มาเป็นอาหารสูตรผสมสำหรับชูการ์ไกลเดอร์ โดยเอาไปผสมกับอาหารสำหรับพวกกินแมลงหรือเนื้อ เช่น อาหารนกคุณภาพสูง ซึ่งควรจะให้โปรตีนและไขมันสูง นิยมผสมกับอย่างละครึ่ง และสามารถเสริมด้วยของกินเล่นต่างๆ เช่น เนื้อตาก แมลง ผลไม้อบแห้ง และรังผึ้ง เป็นต้น แต่ของกินเล่นควรน้อยกว่า 5%








เครดิต


วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไข้เลือดออก (Dengue Hemorhagic Fever)


ไข้เลือดออก (Dengue Hemorhagic Fever)

พบมากในเด็กอายุ 5-6 ปี รองลงมา 10-15 ปี และ 15 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มพบได้มากขึ้น มีการระบาดในฤดูฝน สาเหตุ 90% จะมีสาเหตุจากเชื้อเดงกี (Dengue) มีระยะฟักตัว 3-15 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูงคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีเลือดออกหรือมีอาการรุนแรง ต่อมาเมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อซ้ำอีก ร่างกายจะเกิดปฏิกริยาทำให้หลอดเลือดฝอยเปราะ เกล็ดเลือดต่ำ ทำให้พลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด และมีเลือดออกง่ายเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะช็อก

โรคนี้มียุงลาย (Aedes aegyptl) เป็นพาหะนำโรคยุงชนิดนี้ชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ จานรองตู้กับข้าว แจกัน ฝากะลา กระป๋องที่มีน้ำขัง เป็นยุงที่ออกหากินเวลากลางวัน

อาการของโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง จะมีไข้สูงเฉียบพลัน ไข้สูงลอยตลอดเวลา หน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ กระหายน้ำ ผู้ป่วยจะซึม เบื่ออาหาร และมีอาเจียนร่วมด้วย ในราววันที่ 3 อาจมีผื่นแดงไม่คัน ตามแขน ขา และลำตัวอาจคลำพบตับโต และกดเจ็บเล็กน้อย

ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก อาการไข้เริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยมีอาการทรุดหนัก ปวดท้อง อาเจียน ตัวเย็น มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะน้อย ชีพจรเร็วเบา ความดันต่ำ อาจเสียชีวิตภายใน 1-2 วัน อาจมีเลือดออกตามผิวหนัง เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดสด หรือสีกาแฟ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ถ้าเลือดออกมากจะทำให้เกิดภาวะช็อครุนแรงถึงตายได้อย่างรวดเร็ว

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมือผ่านช่วงวิกฤตไปแล้วอาการจะดีขึ้นอย่งรวดเร็ว สิ่งที่ตรวจพบคือไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจมีตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดง หรือจุดช้ำเขียว ทดสอบทูนิเคต์ให้ผลบวก


อาการแทกซ้อน
ภาวะเลือดออกรุนแรง
ช็อก
ตับวาย มีอาการดีซ่าน
กล้อมเนื้อหัวใจอักเสบ
หลอดลมอักเสบ
ปวดบวมน้ำ
การรักษา
ถ้าอาการไม่รุนแรง ควรให้การรักษาตามอาการโดยให้พักผ่อนมาก ๆ เช็ดตัวลดไข้ และให้ยาลดไข้ ถ้าเด็กเคยชักควรให้ยากันชัก ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และดื่มน้ำมาก ๆ
ถ้าอาเจียนมากหรือเกิดภาวะขาดน้ำ ควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว
การป้องกัน
ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลายเช่น ปิดฝาโอ่งน้ำ และล้างโอ่งทุก 10 วัน เปลี่ยนน้ำในแจกันทุก 10 วัน จานรองตู้กับข้าว ควรใส่น้ำเดือดลงไปทุก 10 วัน หรือใส่เกลือแกง 2 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แก้ว ควรเก็บกระป๋องกะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ ทิ้ง หรือเทน้ำที่ขังออกให้หมด




เครดิต

http://www.bknowledge.org/index.php/object/page/access/health/files/37.html

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553


จิงโจ้บิน-Sugar Gliders



จิงโจ้บิน-Sugar Gliders เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในตระกูลจิงโจ้ มีขนาดเล็ก รูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายบ่างบวกกระรอก มีถิ่นกำเนิดในออสเตรเลีย ปาปัวนิวกินี เกาะแทสเมเนีย และอินโดนีเซีย ชอบอาศัยอยู่บนต้นไม้ อายุ 1 ปี จะโตเต็มวัย มีน้ำหนักตัวประมาณ 0.9-1.5 กิโลกรัม ความยาววัดจากปลายจมูกถึงหาง 12 นิ้ว ขนเนียนละเอียดนิ่มมีทั้งสีเทาและสีน้ำตาลตั้งแต่ลำตัวไปถึงหาง และมีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มระหว่างตาแผ่ไปจนถึงแผงหลัง ตาโปนมีขนาดใหญ่ ข้างลำตัวมีพังผืดที่ยึดจากขาหน้าไปขาหลัง พังผืดจะกางออกเวลากระโดดข้ามต้นไม้ ช่วยพยุงตัวให้ร่อน หรือบินได้ไกลขึ้นตัวเมียเริ่มผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุ 8 เดือนขึ้นไป ตัวผู้ 7 เดือน ถึง 2 ปี ตัวผู้เมื่อถึงวัยที่จะผสมพันธุ์ได้ บริเวณหัวหรือหน้าผากจะล้าน ขณะตัวเมียมีกระเป๋าหน้าท้อง ให้ลูกปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1-2 ตัวเท่านั้น ระยะเวลาตั้งท้องประมาณ 1 เดือน พวกมันชอบอยู่เป็นฝูง นับเป็นสัตว์สังคมที่ต้องการเพื่อนเล่น ชอบกินผลไม้รสหวานอย่างกล้วย แอปเปิ้ล มะละกอ ฯลฯ อายุขัยเฉลี่ย 10-15 ปี ชูก้า ไกลเดอร์เป็นสัตว์เชื่อง นำเข้าประเทศไทยเมื่อปี 2542 ปัจจุบันสามารถเพาะพันธุ์ได้แล้ววิธีเลี้ยงต้องเตรียมกล่องหรือกรงที่มีขนาดใหญ่พอสมควร มีความสูงมากกว่าความกว้างเพราะจิงโจ้บินชอบกระโดดและปีนป่าย ควรมีกิ่งไม้ให้ด้วย และภายในกรงต้องบุนวมเพื่อเพิ่มความอบอุ่นเพราะสัตว์เลี้ยงสายพันธุ์นี้ขี้หนาว จะเริ่มเลี้ยงได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือนขึ้นไป ให้กินผลไม้ที่มีรสหวานสับเปลี่ยนชนิดไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้รับวิตามินครบถ้วน นอกจากนี้ควรให้กินแมลง เช่น จิ้งหรีด ตั๊กแตน หนอนนก เพื่อเพิ่มโปรตีนปริมาณอาหารในช่วงอายุ 2 เดือนแรก ให้กินวันละ 4-6 ครั้ง เพราะอยู่ในวัยเจริญเติบโต เมื่อย่างเข้าเดือนที่ 3 ลดเหลือวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น อายุ 4 เดือนขึ้นไปให้อาหารวันละ 1 ครั้งคือก่อนนอนก็เพียงพอแล้ว ทั้งนี้ ควรเตรียมน้ำสะอาดไว้ในกรงด้วย สังเกตร่างกายของมันถ้าสกปรกให้พาไปอาบน้ำอุ่นแล้วรีบเช็ดตัวให้แห้งเร็วๆ ป้องกันไม่ให้ปอดชื้น อันตรายของจิงโจ้บินอยู่ที่เล็บของมันซึ่งคมมาก ถ้ามันตกใจจะกระตุกตีนแล้วเล็บจะจิกเราทำให้เป็นแผลได้


เครดิต
http://theanimal/ busters.pantown.com/ zoo.org/animals/sugarGlider.html http:// www.sugarglider.com/ index.php?title=Main_Page และ http:// www.sugargliderinfo.com/

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553


เลี้ยงปลากัดสีสวยเพาะพันธุ์ง่าย







ปลากัดเป็นปลาสวยงามอีกชนิดหนึ่ง ที่มีผู้นิยมเลี้ยงกันมานานแล้ว จนมีการพัฒนาพันธุ์ให้มีหลากหลายสี เป็นที่ต้องการของตลาด การเพาะพันธุ์ปลากัดเริ่มแรกจะต้องเลือกพ่อแม่ปลาที่มีอายุ ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป มีความสมบูรณ์เต็มที่

โดยจะสังเกตได้จากตัวผู้เมื่อนำ มาเทียบกับตัวเมียจะว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่วและก่อหวอดขึ้น ส่วนตัวเมียที่บริเวณท้องจะมีลักษณะอูมบวมเพราะมีไข่อยู่ เมื่อได้พ่อแม่ปลาที่มีความสมบูรณ์แล้ว ก็นำมาแยกใส่ขวด โหล ตั้งไว้ติดกันเพื่อให้ตัวเมียไข่สุกเร็วขึ้นซึ่งฤดูกาลควรจะเริ่มในช่วง เดือนพฤษภาคม-กันยายน เพราะถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวปลาจะไม่ค่อยผสมพันธุ์กัน เมื่อเทียบปลาไปได้

ประมาณ 2 อาทิตย์ ก็นำใส่ลงในบ่อปูนหรือกะละมัง ก็ได้ โดยให้มีระดับน้ำพอเหมาะ และควรใส่ไม้น้ำลงไปเพื่อให้พ่อปลาก่อหวอดหลังจากนั้น 2 วัน พ่อปลาจะเริ่มก่อหวอดและคลี่ครีบไล่ต้อน ตัวเมียให้ไปอยู่ใต้หวอดเพื่อรัดท้องแม่ปลารีดไข่ให้ออกมาแล้วฉีดน้ำเชื้อลงในไข่ และไข่จะจมลงไปสู่พื้นบ่อ พ่อปลาจะว่ายไปอมไข่มาไว้ที่หวอด เมื่อแม่ปลาวางไข่หมดแล้วให้นำออกจากบ่อป้องกันไม่ให้กินไข่ แล้วปล่อยให้พ่อปลาดูแลไข่ประมาณ 2 วัน จึงนำออกจากบ่อเพาะเช่นเดียวกัน ไข่ปลาจะเริ่มฟักออกเป็นตัวภายในเวลา 36 ชั่วโมง แล้วจะเกาะอาศัยอยู่ที่หวอด ในระยะ 3-4 วันแรกยังไม่ต้องให้อาหารเพราะลูกปลามีถุงอาหารติดอยู่หลังจากที่ฝักออกมา เมื่อถุงอาหารยุบแล้วก็เริ่ม ให้อาหารเป็นไข่แดงต้มสุกละลายน้ำ กรองผ่านกระชอนตาถี่วันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 3 - 5 วันจึงเปลี่ยนไปให้ไรแดงขนาดเล็กแทน จนกระทั่งปลากินลูกน้ำได้ ซึ่งจะสามารถแยกเพศเมื่อปลาได้อายุ 45 วันขึ้นไป และเมื่อปลาเริ่มกัดกันจึงค่อยแยกใส่ขวดโหลขวดละตัว ปลากัดตัวผู้จะมีสีสันและความสวยงามมากกว่าปลากัดตัวเมีย แต่ปลากัดตัวผู้นั้นจะมีนิสัยก้าวร้าวมากกว่าปลากัดตัวเมีย




















วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553




10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยที่สุดในประเทศไทย



อันดับที่ 10 เกาะตะปู





เกาะตะปู ตั้งอยู่ในบริเวณทะเลด้านนอก ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา คิดเป็นระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร จากที่ทำการอุทยานฯตามลำคลองเกาะปันหยีจังหวัดพังงา สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย อยู่ทางด้านเหนือในเวิ้งอ่าวของเกาะเขาพิงกัน เกาะตะปู มีลักษณะเป็นเกาะเดี่ยว รูปร่างคล้ายตะปู มีศัพท์เฉพาะทางธรณีวิทยาว่า เกาะหินโด่ง (Stack) การชมเกาะตะปูต้องชมในระยะไกลจากเรือ หรือจากสันดอนของเกาะเขาพิงกัน ไม่สามารถขึ้นไปบนเกาะได้


อันดับที่ 9 เกาะเต่า

เกาะเต่า มีพื้นที่อยู่ในฝั่งของทะเลอ่าวไทย และอยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ลักษณะของ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย เกาะเต่า จะมีลักษณะที่โค้งเว้า เหมือนกับเมล็ดถั่ว ซึ่งเกาะเต่า จะตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ เกาะพงัน จ.สุราษฏร์ธานี ระยะทางจากเกาะพงันถึงเกาะเต่า ประมาณสี่สิบห้ากิโลเมตร นอกจากนี้ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ในบริเวณใกล้เคียงกับเกาะเต่ายังมีเกาะนางยวนซึ่ง เป็นเกาะเล็กๆ ด้านตะวันตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะเต่า มีสันทรายเชื่อมต่อกับเกาะเต่าในลักษณะเหมือนทะเลแหวก เป็นแหล่งดำน้ำชมปะการังอีกแห่งหนึ่ง



อันดับที่ 8 อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์



อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอดอยหล่อ อำเภอจอมทองและอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย
ในวันที 13 เดือนมิถุนายน พุทธศักราช 2521 คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ได้ประกาศให้ดอยอินทนนท์เป็นอุทยานแห่งชาติ


อันดับ 7 หัวหิน







หัวหิน เป็นอำเภอที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย เดิมมีชื่อว่า "บ้านสมอเรียง" หรือ "บ้านแหลมหิน" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ได้ทรงสร้างวังไกลกังวลเพื่อประทับพักผ่อนในฤดูร้อน และปัจจุบันวังไกลกังวลนั้นเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน


อันดับ 6 พัทยา





พัทยา หรือ เมืองพัทยา เป็นเขตปกครองพิเศษเขตหนึ่งที่ตั้งตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ เมืองพัทยา ฉบับ วันที่ 29 พฤจิกายน พ.ศ. 2521 (เทียบเท่าเทศบาลนคร) ในเขตจังหวัดชลบุรี จัดเป็น
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย เมืองท่องเที่ยวนานาชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลกโดยเฉพาะหาดทรายที่ ทอดยาวไปตามแนวชายฝั่งทะเล จัดได้ว่า สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย มีความสวยงามอีกแห่งของประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 140 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลทางทิศตะวันออกของอ่าวไทย ซึ่งพัทยาแบ่งเป็น 4 ส่วนได้แก่ พัทยาเหนือ พัทยากลาง พัทยาใต้ และหาดจอมเทียน



อันดับที่ 5 เกาะ ช้าง


เกาะ ช้าง เป็น สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่เกาะที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากเกาะภูเก็ต เกาะช้างมีโรงแรมและรีสอร์ตมากมาย ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาดำน้ำ และด้วยภูมิประเทศที่มีป่าเขาอยู่กลางเกาะ นักท่องเที่ยวจึงสามารถท่องเที่ยวแบบเดินป่า ขี่ช้างก็ได้เช่นกัน



อันดับ 4 เกาะสมุย

เกาะสมุย เดิมเกาะสมุยมีชื่อเสียงในฐานะเป็นแหล่งปลูกมะพร้าว ปัจจุบันเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศที่ชาวต่างประเทศนิยมเดินทางมาท่อง เที่ยว มีร้านค้า โรงแรม และสถานบันเทิงต่าง ๆ มากมาย หาดที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนเกาะสมุย คือ หาดเฉวง บริเวณชายหาดยาวประมาณ 7 กิโลเมตร ถ้าได้ลงมือเดินตั้งแต่ต้นหาดจนกระทั่งถึงปลายหาดจะใช้เวลาประมาณถึง 2 ชั่วโมง เพราะการเดินบนผืนทรายไม่เหมือนการเดินบนพื้นดินปรกติ หาดที่มีความสวยงามเป็นอันดับรองลงมา คือ หาดละไม หาดเชิงมนต์ แหลมโจรคร่ำ หาดท้องยาง หาดหน้าทอน หาดพังกา และหาดตลิ่งงาม นอกจากธรรมชาติที่สวยงามของอำเภอเกาะสมุยแล้ว ยังมีกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก คือ "สปา" หรือการดูแลรักษาสุขภาพโดยการใช้น้ำบำบัด เช่น การอาบ-การแช่น้ำแร่หรือน้ำร้อน


อันดับ 3 หมู่เกาะพีพี




อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามันด้านทิศตะวันตกของภาคใต้ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่มีลักษณะสวยงามตามธรรมชาติ รอบ ๆ เกาะมีปะการัง กัลปังหา ทิวทัศน์ใต้ทะเลที่งดงาม และเอกลักษณ์ทางธรรมชาติคือภูเขาหินปูนที่มีหน้าผาเป็นชั้น ๆ ถ้ำที่สวยงาม ตลอดจนชายหาดยาวสะอาด สุสานหอย 40 ล้านปี ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 389.96 ตารางกิโลเมตร หรือ 243,725 ไร่



อันดับที่ 2 หมู่เกาะสิมิลัน

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ได้รับการยกย่องว่าเป็นหมู่เกาะที่มีความสวยงามทั้งบนบกและใต้น้ำ มีปะการังที่สวยงามหลายชนิด สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก สามารถพบปลาที่หายาก เช่น วาฬ โลมา ปลาไหลมอเร่(moray) ช่วงเดือนที่น่าเที่ยวมากที่สุด คือช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนเมษายน นอกจากนั้นจะประกาศปิดเกาะ



อันดับ 1 หาดป่าตอง

หาดป่าตอง อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 15 กิโลเมตร นับว่าเป็น สถาน ที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย หาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของภูเก็ต เป็นชายหาด
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ร้านดำน้ำ ร้านขายอุปกรณ์กีฬาทางน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย ไว้คอยบริการแก่นักท่องเที่ยว ด้วยชายหาดที่มีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ป่าตองจึงเป็น สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่มีผู้นิยมมาเยือนมากที่สุด
หาด ป่าตองถูกถล่มโดยคลื่นสึนามิในเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547ปัจจุบัน หาดป่าตองเป็นหนึ่งในชายหาดสำคัญที่ได้รับการติดตั้งระบบเตือนภัยสึนามิ มีการซักซ้อมการอพยพและการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอยู่อย่างสม่ำเสมอ เป็นระยะๆ

ข้อมูลจาก FWDMAILภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต