วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552

อุเทนถวาย-ช่างกลปทุมวันปะทะเดือดหน้านิติเวช





ศึกอุเทนถวาย-ช่างกลปทุมวัน ปะทะเดือดหน้านิติเวช รพ.ตำรวจ ระหว่างรอรับศพเพื่อนที่ถูกจ่อยิง ก้อนอิฐไม้ว่อนกระจายกระจกติติเวชแตก ชาวบ้านแตกฮือหวั่นถูกลูกหลง ผกก.ปทุมวัน พร้อมกำลัง เร่งเข้าเคลียร์พื้นที่ ตรวจค้นพบมีด 5 เล่ม พ่อนศ.อุเทน รับศพร่ำไห้กับการสูญเสียลูกชาย
ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 23 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มนักศึกษาสถาบันเทคโนโลราชมงคล วิทยาเขตอุเทนถวาย ประมาณ 40 คน เดินทางมารอรับศพ นายพรพจน์ โสภณเจริญ นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโยธา ชั้นปีที่ 3 ที่ยิงเสียชีวิตหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น บริเวณแยกเกษตรเมื่อคืนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ระหว่างที่นักศึกษากลุ่มดังกล่าวรอรับศพอยู่บริเวณด้านหน้าสถาบันนิติเวช ได้มีนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวันประมาณ 30 คนก็เดินทางมารับศพนายนันทศักดิ์ แก้วเขียว อายุ 22 ปี นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวันที่ประสบอุบัติเหตุรถชน เสียชีวิตท้องที่ สภ.พระสมุทรเจดีย์ เมื่อกลุ่มนักศึกษาทั้งกลุ่มมาเผชิญหน้ากันก็เกิดการเขม่นกันขึ้น จากนั้นก็วิ่งเข้าหาตะลุมบอนต่างพยายามหาสิ่งของที่อยู่ใกล้เคียงมาเป็นอาวุธทั้งไม้ ก้อนอิฐ ตะเกียงบูชาพระพุทธรูปกว้างปาทุบตีกันชุลมุน นานประมาณ 5 นาที จนทำให้ทรัพย์สินของราชการกระจกประตูสถาบันนิติเวชแตกเสียหาย ประชาชนหลายคนที่มารอรับศพพากันแตกตื่นตกใจกลัวโดนลูกหลง โดยมีนักศึกษาสถาบันเทคโนโลราชมงคล วิทยาเขตอุเทนถวายบาดเจ็บศรีษะแตกเล็กน้อย 1 คน
จากนั้นตำรวจสายตรวจ และสายสืบปทุมวัน ได้เข้ามาแยกนักศึกษาทั้งสองกลุ่มออกจากกันโดยให้นักศึกษาเทคโนโลยีปทุมวัน เข้าไปอยู่ภายในสถาบันนิติเวช และทำการตรวจค้นอาวุธพบมีดปลอกผลไม้ จำนวน 5 เล่ม จึงรอรับศพเพื่อนและจัดรถตู้ไปส่งยังสถาบันเทคโนโลยีปทุมวันโดยออกทางด้านหลัง
ส่วนกลุ่มนักศึกษาสถาบันเทคโนโลราชมงคลให้อยู่บริเวณฟุตบาทด้านหน้าโดยต่อมา พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ ผกก.สน.ปทุมวัน ได้เดินทางมาเจรจาด้วยตนเองว่าให้แยกย้ายกันกลับด้วยความสงบขออย่าให้มีเรื่องเนื่องจากผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องจะได้รับความเดือดร้อน นักศึกษาบางส่วนจึงเดินทางกลับ ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 10 คนก็ยังรอศพด้วยความสงบ โดยมีตำรวจคอยดูแลสถานการณ์




ด้านผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์รายหนึ่ง ไม่ขอเปิดเผยชื่อ เล่าว่า ขณะเกิดเหตุเห็นนักศึกษาทั้งสองกลุ่มมายืนเขม่นกัน และบางคนในกลุ่มก็ส่งเสียงตะโกนต่อว่ากัน จากนั้นนักศึกษาเทคโนโลยีปทุมวัน ผู้ชายคนหนึ่งเดินลงมาที่ถนนซึ่งกั้นระหว่างสองกลุ่ม จากนั้นนักศึกษาสถาบันเทคโนโลราชมงคล วิทยาเขตอุเทนถวาย ชายคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามากระโดดถีบ จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็กรูกันเข้ามาหยิบฉวยอะไรที่เป็นอาวุธได้ก็ไล่ตี ขว้างปากันชุลมุน จนผู้ที่อยู่บริเวณนั้นต้องวิ่งหนีกระเจิง จนตำรวจเข้ามาระงับเหตุแยกทั้งสองฝ่าย
ต่อมานายสง่า โสณเจริญ พ่อของนายพรพจน์ พร้อมญาติ ได้เดินทางมาติดต่อรับศพ และกล่าวว่า ลูกชายมีความใฝ่ฝันที่จะเข้าที่ที่สถาบันนี้ และก่อนมาเรียนลูกก็บอกกับตนว่าไม่ได้เข้ามาเรียนพื่อจะมีเรื่องจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้จบ ซึ่งตั้งแต่ที่ลูกเรียนมาก็สอบได้ไม่เกินที่ 10 เลย และอยากบอกทุกคนเป็นอุทธาหรณ์ว่าขออย่าให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก เพราะการสูญเสียลูกชายครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เกินรับได้ เพราะผมมีลูกชายเพียง 2 คน
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้นายสง่า ก็ถึงกับน้ำตาคลอเบ้า และขอยุติการให้สัมภาษณ์เพราะยังอยู่ในอาการโศกเศร้าไม่พร้อมที่จะพูดอะไร ทั้งนี้ศพของนายพรพจน์ ญาติจะนำไปบำเพ็ญกุศล ที่วัดลาดปลาเค้า
ด้านผลการพิสจน์ศพนายพรพจน์ ทางสถาบันนิติเวชระบุว่าเสียชีวิตเนื่อง บาดแผลกระสุนปืนทำลายปอดขวา ทะลุไขสันหลังส่วนคอ และเอว เป็นเหตุให้เสียชีวิต



วันนี้ (29 กรกฎาคม) ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุทธินันท์ หวังหอมกลาง นายมงคล ศรีพูล และนายชาตรี จูวรรณะ 3 นักศึกษา สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน จำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน และพกพาอาวุธมีดติดตัวไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเหตุอันควร สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2549 จำเลยได้ร่วมกับพวกที่ยังหลบหนีอีก 6 คน ก่อเหตุยิง นายเบญจพล วิริยารัมภะ นักศึกษาชั้นปี 2 คณะเทคโนโลยีภูมิทัศน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย เสียชีวิตในซอยลาดพร้าว 124 สาเหตุเพราะความโกรธแค้นระหว่างสถาบัน ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ที่นำสืบสอดคล้องกัน และรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย การที่จำเลยอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมให้รับสารภาพในชั้นสอบสวนฟังไม่ขึ้น เพราะขณะสอบปากคำมีบุคคลอื่นร่วมรับฟังด้วย และรับสารภาพด้วยความสมัครใจ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยทั้ง 3 กระทำความผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาให้ประหารชีวิตในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ส่วนความผิดพกพาอาวุธมีดปรับ 90 บาท ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองจำคุก 2 ปี และฐานพกพาอาวุธปืนจำคุก 1 ปี แต่คำให้การในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 ให้จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 60 บาท พร้อมให้ชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหาย จำนวน 4.25 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้อง อย่างไรก็ตามระหว่างการพิจารณาคดี ได้มีครอบครัวและเพื่อนร่วมสถาบันมาให้กำลังใจ จำเลยทั้ง 3 เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อได้รับฟังคำพิพากษาครอบครัวของจำเลย ต่างก็ร้องไห้ วันนี้ (29 กรกฎาคม) ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุทธินันท์ หวังหอมกลาง นายมงคล ศรีพูล และนายชาตรี จูวรรณะ 3 นักศึกษา สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน จำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน และพกพาอาวุธมีดติดตัวไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเหตุอันควร สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2549 จำเลยได้ร่วมกับพวกที่ยังหลบหนีอีก 6 คน ก่อเหตุยิง นายเบญจพล วิริยารัมภะ นักศึกษาชั้นปี 2 คณะเทคโนโลยีภูมิทัศน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย เสียชีวิตในซอยลาดพร้าว 124 สาเหตุเพราะความโกรธแค้นระหว่างสถาบัน ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ที่นำสืบสอดคล้องกัน และรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย การที่จำเลยอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมให้รับสารภาพในชั้นสอบสวนฟังไม่ขึ้น เพราะขณะสอบปากคำมีบุคคลอื่นร่วมรับฟังด้วย และรับสารภาพด้วยความสมัครใจ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยทั้ง 3 กระทำความผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาให้ประหารชีวิตในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ส่วนความผิดพกพาอาวุธมีดปรับ 90 บาท ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองจำคุก 2 ปี และฐานพกพาอาวุธปืนจำคุก 1 ปี แต่คำให้การในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 ให้จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 60 บาท พร้อมให้ชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหาย จำนวน 4.25 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้อง อย่างไรก็ตามระหว่างการพิจารณาคดี ได้มีครอบครัวและเพื่อนร่วมสถาบันมาให้กำลังใจ จำเลยทั้ง 3 เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อได้รับฟังคำพิพากษาครอบครัวของจำเลย ต่างก็ร้องไห้ออกมา ด้วยความเสียใจ ออกมาด้วยความเสียใจ